
PM2.5 คัมแบ็ก! เลือกหน้ากากอย่างมือโปรเพื่อสุขภาพปลอดภัย
ฝุ่น PM2.5 กลับมาอีกครั้ง และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่ๆ เพราะปัญหามลพิษทางอากาศยังคงอยู่แบบที่ต้องเผชิญกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะอยู่เมืองใหญ่หรือบนภูเขาสูง ความเสี่ยงจากฝุ่นละอองขนาดเล็กนี้ยังคงตามมาแบบไม่ให้ตั้งตัว โดยเฉพาะเจ้าฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ที่เล็กกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผมถึง 30 เท่า และสามารถแทรกตัวผ่านระบบกรองธรรมชาติของร่างกายเข้าไปทำร้ายปอด หัวใจ และหลอดเลือดได้โดยตรง
ในประเทศไทย เรามักเจอกับช่วงเวลาที่ค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน โดยเฉพาะในฤดูหนาวของกรุงเทพฯ หรือพื้นที่ภาคเหนือที่มีปัญหาเรื่องหมอกควัน การสัมผัส PM2.5 อย่างต่อเนื่องไม่เพียงแต่ทำให้ระคายเคืองตา คอ หรือผิวหนังในระยะสั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับปัญหาเรื้อรัง เช่น โรคปอดอักเสบ ถุงลมโป่งพอง หอบหืด และอาจเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งปอดได้อีกด้วย และไม่เพียงเท่านั้น ยังมีผลกระทบต่อหัวใจ ความดันโลหิต ไปจนถึงทารกในครรภ์ที่อาจคลอดก่อนกำหนดหรือมีน้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่ามาตรฐาน
ความที่เราไม่สามารถมองเห็นอณูของฝุ่นได้ด้วยตาเปล่า การเลือกหน้ากากที่เหมาะสมจึงเป็นด่านป้องกันแรกที่ควรใส่ใจ หน้ากาก N95 ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะสามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กได้ถึง 95% ซึ่งมากพอที่จะป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือถ้าใครต้องเจอฝุ่นในปริมาณมาก เช่น คนทำงานนอกสถานที่ หน้ากาก N99 และ P100 ที่กรองได้มากถึง 99%–99.97% ก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
นอกจากนี้ ยังมีหน้ากาก 9002A ที่กรอง PM2.5 ได้ประมาณ 86% ซึ่งก็ถือว่าเหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน ส่วนหน้ากากอนามัยทางการแพทย์และหน้ากากผ้า แม้จะไม่สามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ดีเท่าหน้ากากชนิดพิเศษ แต่ก็ยังพอช่วยลดการรับฝุ่นในระดับเบื้องต้นได้ โดยเฉพาะถ้าใช้ร่วมกับแผ่นกรองเสริม และต้องมั่นใจว่าหน้ากากแนบสนิทกับใบหน้า
แต่เรื่องที่หลายคนอาจมองข้ามคือ เมื่อมีหน้ากากแล้วก็ต้องสวมให้ถูกวิธี เพราะถ้าใส่หลวมจนมีอากาศรั่วเข้า ก็เหมือนใส่ไว้ให้ดูดีเฉยๆ ดังนั้นเวลาสวมควรจัดหน้ากากให้แนบกับจมูกและปาก กดลวดบริเวณสันจมูกให้แน่น แล้วเช็กว่าไม่มีลมรั่วออกด้านข้าง โดยลองหายใจแรงๆ ขณะใช้มือวางปิดหน้ากาก ถ้ามีลมรั่ว แสดงว่าต้องปรับสายรัดใหม่ให้พอดี และอย่าลืมเปลี่ยนหน้ากากเมื่อเปียกชื้นหรือรู้สึกหายใจลำบาก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแผ่นกรองเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว
สำหรับบางคนที่ไม่สะดวกใส่หน้ากากตลอดเวลา โดยเฉพาะในบ้าน การใช้เครื่องฟอกอากาศก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่ดี โดยเฉพาะรุ่นที่มีฟิลเตอร์แบบ HEPA ซึ่งสามารถกรองฝุ่น PM2.5 ได้เกือบ 100% แต่อย่าลืมเลือกเครื่องให้เหมาะกับขนาดห้อง ตั้งในจุดที่อากาศหมุนเวียนสะดวก และเปลี่ยนไส้กรองตามคำแนะนำของผู้ผลิตเพื่อให้เครื่องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
สำหรับในวันที่เรายังหลีกเลี่ยงฝุ่นไม่ได้ทั้งหมด การดูแลตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ทั้งการสวมหน้ากากเมื่อต้องออกไปข้างนอก หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้งในช่วงที่ค่าฝุ่นสูง รวมถึงการติดตามค่าฝุ่นแบบเรียลไทม์จากแอปฯ หรือเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ หากมีโรคประจำตัวหรืออาการผิดปกติ เช่น ไอเรื้อรัง หายใจไม่ทัน หรือแน่นหน้าอก ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะฝุ่นอาจกระตุ้นโรคให้กำเริบได้โดยไม่รู้ตัว
ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้สูงอายุ หรือคนทั่วไป การเลือกหน้ากากให้เหมาะสมกับรูปหน้าและขนาดเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเด็กที่หน้ากากผู้ใหญ่ใส่แล้วหลวมเกินไป ควรใช้หน้ากากที่ออกแบบมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ เพื่อให้แนบสนิทและป้องกันได้จริง
และอย่าลืมว่าการลดฝุ่นภายในบ้านเองก็มีความสำคัญ ควรงดกิจกรรมที่เพิ่มมลพิษในบ้าน เช่น การสูบบุหรี่ การเผาขยะ การใช้เตาถ่าน หรือจุดธูปเทียนในปริมาณมาก ควรเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทบ้างในช่วงเวลาที่ค่าฝุ่นไม่สูงเกินไป หรือเลือกปลูกต้นไม้ที่ช่วยกรองอากาศในบ้านก็เป็นไอเดียที่น่าสนใจเช่นกัน
สุดท้ายนี้ แม้ฝุ่นจะเป็นภัยเงียบ แต่หากเรารู้จักวิธีรับมืออย่างถูกต้อง ไม่ตื่นตระหนกแต่ไม่ประมาท ก็สามารถใช้ชีวิตท่ามกลางฝุ่นได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น เพราะสุขภาพดีเริ่มต้นที่การดูแลตัวเองในทุกวัน แม้แต่เรื่องเล็กๆ อย่างการเลือกหน้ากากก็อาจเปลี่ยนชีวิตได้มากกว่าที่คิดนะคะ